top of page

มติศาลรัฐธรรมนูญ ให้ “แพทองธาร” พ้นเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ครม.ต้องพ้นทั้งคณะ

  • supattra24051988
  • 30 ส.ค.
  • ยาว 1 นาที

ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยคดีคลิปเสียง พิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกฯ สิ้นสุดลงเฉพาะตัว นับแต่วันที่ศาล สั่งนายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่ 1 กรกฎาคม 2568 และคณะรัฐมนตรี ต้องพ้นตำแหน่งทั้งคณะ 

ree

ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยฯ


วันที่ 29 ส.ค. 2568 เมื่อเวลา 15.00 น. ที่ศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัย ชี้ขาดคำร้องที่ประธานวุฒิสภาส่งความเห็นสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) 36 คน เข้าชื่อยื่นเรื่องให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญเพื่อขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรค 3 ประกอบมาตรา 82 ว่าความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 106 (4) และ (5) หรือไม่ เนื่องจากไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ในกรณีคลิปเสียงสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร และสมเด็จฯ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา จากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา

ซึ่งวันนี้ผู้ร้อง พลเอกสวัสดิ์ ทัศนา สมาชิกวุฒิสภา เดินทางมาฟังศาลด้วยตัวเอง ส่วนนายกรัฐมนตรีมอบหมายนายแพทย์พรหมมินทร์ เลิศสุริยเดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และทนายความมาฟังคำวินิจฉัย


โดยศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า ศาลรัฐธรรมนูญมีหน้าที่และอำนาจตามรัฐธรรมนูญในการวินิจฉัยเรื่องคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีจะสิ้นสุดลงเฉพาะตัวหรือไม่ ผู้ถูกร้องโต้แย้งว่าคลิปเสียงได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นคลิปเสียงต่างประเทศไม่มีการแปล ศาลเห็นว่าเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงสามารถรับฟังพยานหลักฐานได้อย่างกว้างขวางในการค้นหาความจริงและยุติข้อกล่าวหาได้อย่างแท้จริง โดยผู้ถูกร้องยอมรับว่าเป็นบุคคลในคลิปจริง การฟังคลิปเสียงจึงเป็นการเอื้อต่อระบบยุติธรรมมากกว่า ดังนั้นศาลจึงรับฟังคลิปเสียงเป็นพยานหลักฐานได้


ส่วนเรื่องความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 106 (4) และ (5) หรือไม่ ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า

ผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต้องเป็นที่ไว้วางใจต่อสาธารณะ และต้องถูกตรวจสอบทุกแง่มุม ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และไม่มีการกระทำอันเป็นเหตุต้องห้าม เมื่อพิจารณาทั้งหมดแล้ว ในส่วนที่กล่าวถึงแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นการใช้เทคนิคมุ่งหมายลดความตึงเครียดระหว่างกันนั้น และใช้คำว่า “เรา” การที่ผู้ถูกร้องเป็นนายกรัฐมนตรีของไทย การกล่าวคำดังกล่าวนั้น พฤติกรรมดังกล่าวแสดงให้เห็นว่ามีการแบ่งข้าง และเกิดความไม่เป็นเอกภาพระหว่างรัฐบาลและกองทัพ แสดงความอ่อนแอให้กัมพูชาทราบ เป็นการเปิดช่องให้กัมพูชาเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในประเทศได้ การใช้คำว่า ให้ท่านฮุนเซนเห็นใจหลานหน่อย เขาไล่หลานให้ไปเป็นนายกรัฐมนตรีกัมพูชาแล้ว เหมือนกับว่าเป็นการตกลงร่วมกัน เป็นการขอร้องให้เห็นใจ แต่เพราะผู้ถูกร้องมีความสัมพันธ์ที่ดีจึงไม่มีการตอบโต้ ผู้ถูกร้องยังแสดงตนและจำนนให้สมเด็จฯ ฮุนเซนทราบ โดยไม่มีเงื่อนไขหรือรักษาจุดยืนของประเทศชาติ และเปิดช่องให้กัมพูชาหยิบยื่นข้อเรื่องร้องต่อไทยได้ตามต้องการ ทั้งที่ผู้ถูกร้องทราบดีว่าการประชุม สมช. มีการพิจารณากับกองทัพจากเบาไปหาหนัก และทราบดีว่าสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชา


ศาลจึงพิจารณาแล้วเห็นว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายกฯ สิ้นสุดลงเฉพาะตัว นับแต่วันที่ศาลสั่งนายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่ 1 กรกฎาคม 2568 และคณะรัฐมนตรีต้องพ้นตำแหน่งทั้งคณะ



ขอบคุณข่าว : ไทยรัฐ


 
 
 

ความคิดเห็น


™© Copyright

FAT 93 RADIO THAILAND

693/173 หมู่ 24 ต.รอบเวียง อ.เมือง จ.เชียงราย

STUDIO CONTACT : 053-756692

Advertising CONTACT : 094-9994491 / 094-6915676

E-Mail : mkt_fatchiangrai@hotmail.com

FC letter edit png3.png

©  FAT93RADIO THAILAND Part., Ltd

bottom of page